บทความ

คำบอกเวลา

ในภาษาไทยมีคำบอกเวลาเยอะไปหมด บางทีบอกว่านัดกันเย็นๆ แต่เย็นแล้วเย็นอีกก็ไม่เห็นหน้า ผมเลยลองเขียนออกมาว่าคำบอกเวลาในความคิดของผมมันคือเวลาเท่าไหร่กันแน่ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า เวลา คำบอกเวลา 24.00-0.59 เที่ยงคืน 5.30-5.59 เช้าตรู่ 6.00 - 7.59 เช้า 8.00 - 10.59 สาย 11.00-11.59 เพล 12.00-12.59 เที่ยง 13.00 - 15.59 บ่าย 16.00 - 18.59 เย็น 19.00 - 19.30 หัวค่ำ 19.00 - 20.59 ค่ำ 21.00 - 24.00 ดึก ท่านเด่นสินเพิ่มเติมมาว่ายังมีคำว่า โพล้เพล้ อีก​ ซึ่งใช้การดูแสงอาทิตย์บนฟ้ารำไร ซึ่งก็น่าจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล

ภาษากลาง: สุรา, เมรัย, มัชชะ

สองครั้งแล้ว ต่างคน ต่างวาระ ที่ได้ยินการตีความศีลข้อห้าแบบแปลกๆ โดยพยายามอ้างบาลีด้วย ในทำนองว่า พุทธบริษัทส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า ศีลข้อห้านั้นให้งดดื่มเหล้า ทั้งที่จริงให้ดื่มแต่พอดี แล้วก็ยกวลี "มชฺชปมา" ใน "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา.." มาประกอบ ว่าหมายถึง "มัชฌิมา" คือปานกลาง ซึ่งเป็นการลากคำเข้าความ และเห็นว่าเรื่องนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจทางภาษา เลยยกมาเขียนใน lang4fun เสียหน่อย เริ่มจากแยกคำบาลีเสียก่อน "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา" ประกอบด้วยคำว่า "สุรา", "เมรัย", "มัชชะ", "ปมาท" และ "ฐานา" ซึ่งสามคำแรก มีความหมายถึงเครื่องดองของเมาชนิดต่างๆ ดังนี้ สุรา น. เหล้า, น้ำเมาที่ได้จากการกลั่น, (มักใช้เป็นทางการ), เช่น ร้านนี้ขายแต่สุราต่างประเทศ. (ป., ส.). เมรัย น. น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่, น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น. (ป.). มัชชะ น. น้ำเมา, ของเมา. (ป. มชฺช). โดยมีคำว่า มัชวิรัติ ที่แปลว่า การงดเว้นของมึนเมา ซึ่งคงจะตรงกับภาษาอังกฤษว่า teetotal ด้วย กล่าวคือ "สุรา" หมายถึงน้ำเมาที่ก...

ภาษาใต้: มาก ...

คิดไว้ว่าจะรวบรวมคำที่มีความหมายว่า "มาก" ว่าจะมีสักกี่คำที่ผมรู้จัก -_-! เริ่มนับกันเลยครับ กองลุย กองเอ กาเอ,กะเอ กาลุย,กะลุย กาลักกาลุย,กะลักกะลุย กาโข,กะโข โขลุย ครัน แตรกแตรก จัง,จังหู จังเสีย จ้าน เจกเจก จม,จ้านจม รึด,รึดๆ ราสา หนัดเหนียน หลาย ใครมีคำแนะนำดีๆ ช่วยแนะนำด้วยครับผม

ภาษาใต้: เต็ด..

ภาษาใต้วันนี้ขอเสนอคำว่า "เต็ด" โดยความหมายจะหมายถึง "เล็กๆ" เทียบได้กับคำว่า "เอียด" และ "ฮิต" ในภาษาใต้เช่นกัน ตัวอย่าง "น้องสาวนี้ตัวเท่าเต็ดอ้อร้อได้แรง" หมายถึง "น้องสาวคนนี้ตัวเล็กนิดเดียวแต่แรดจริงๆ" "ไม้อันนี้เอียดแรงหามหมาได้ไหม้" หมายถึง "ไม้ท่อนนี้เล็กเกินไปหามไม่ไหวหรอก" "ไอ้บาวนีตัวเท่าฮิตอย่ามาด้นกับกับพี่" หมายถึง "ไอ้หนุ่มตัวเล็กแบบนี้อย่ามายุ่งกับพี่เลย" แล้วเจอกันใหม่ครับ

ภาษาใต้: เเหย๊ะ

ภาษาใต้วันนี้ขอเสนอคำว่า "แหย๊ะ" โดยความหมายแล้วจะหมายถึงการที่เรารับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มไม่หมด เช่น "ไอ้บาวกินข้าวแหย๊ะประจำเลยนิ๊" หมายความว่า "ไอ้หนุ่มทานข้าวเหลือเป็นประจำเลยนะ" อาจจะใช้กับนักการเมืองโกงกินบ้านเมืองก็ได้นะผมว่า กินกันจนแหย๊ะ ประมาณว่ากินกันจนไม่หวาดไม่ไหว :-)

คนระยองเอาได้

คนระยองเอาได้ ใครไม่เคยฟังจะหาว่าทะลึ่ง ``เอาได้'' ในภาษาระยองไม่ได้มีความหมายทะลึ่งอะไร แต่หมายความว่า ``ใช้ได้'' หรือ ``ดี'' เคยมีผู้สมัครส.ส.หรือส.จ. นี่หละ ชื่อทนายอ๊อดเขียนในป้ายหาเสียงว่า ``ทนายอ๊อดเอาได้'' :-)

ภาษาใต้: ตาอยาก...

ตายาก: (น., ก.) อยากได้ โลภ (ใช้ในกรณี ว่ากล่าว หรือ ตักเตือน) ตัวอย่าง: เห็นของของเพื่อนไม่ได้เลยนิ ตาอยากเอาปรือ คำแปล: เห็นของของเพื่อนไม่ได้เลยน่า โภลอยากได้จังเลย (แปลยากจัง) คำๆนี้ใช้ในแง่ลบซ่ะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รู้สึกอายเมื่อโดนว่า

ภาษาใต้: ขาดหุ้น

ภาษาใต้วันนี้เสนอคำว่า "ขาดหุ้น" คำคำนี้ปกติไม่พูดกันครับนอกจากเวลาที่ใช้ว่าคนอื่น ความหมายจะเหมือนกันกับคำว่า "ไม่เต็มบาท" คือลักษณ์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ้าหนักหน่อยก็จะเป็นไม่สมประกอบ ตัวอย่างเช่น "สาวนุ้ยมึงยาขาดหุ้นนักแรงไปกับบาวๆ ทุกวัน ..." ความหมายประมาณว่า "ไปกับหนุ่มๆ ทุกวันช่างไม่รู้กะไรซะจริงๆ" (แปลยากจัง) คำว่าขาดหุ้นน่าจะมาคำว่า ขาดหุน หน่วยวัดความยาว หรือ ขนาดนี่แหละครับ เช่น น๊อต 1 หุน

ภาษาอีสาน: ดุ, ฮ้าย

เห็นภาษาใต้คำล่าสุดแล้ว นึกถึงคำอีสานคำหนึ่ง: ดุ ว. บ่อย. ตัวอย่างเช่น "อย่าเว้าดุหลาย" ก็หมายถึง 'อย่าพูดบ่อยนักสิ' หรือ 'อย่าพูดมาก' นั่นเอง "มาย่ามกันดุๆ เด้อ" ก็หมายถึง 'มาเยี่ยมกันบ่อยๆ นะ' เป็นต้น ที่ว่านึกถึงคำนี้ก็เพราะ ในภาษาลาวเดิมนั้น "ดุ" แปลว่า 'ขยัน' ด้วย เช่น "คนดุ" จะหมายถึง 'คนขยัน' แต่ถ้าจะสื่อความว่า 'ครูคนนี้ดุ(ร้าย)จัง' ก็จะใช้คำว่า "ฮ้าย" (ร้าย) เช่น "ครูผู้นี้คือฮ้ายแท้" แต่ในภาษาอีสานปัจจุบัน ไม่ค่อยพบการใช้คำว่า "ดุ" ในความหมาย 'ขยัน' แล้ว แต่จะใช้ "ขยัน" ทับศัพท์ภาษากลางไปเลย แต่ในประเทศลาว ยังคงใช้ความหมาย 'ขยัน' อยู่ อย่างไรก็ดี เนื่องจากยังมีการใช้คำว่า "ดุ" ในความหมายว่า 'บ่อย' อยู่ จึงไม่มีการทับศัพท์คำว่า 'ดุ(ร้าย)' จากภาษากลาง แต่จะใช้คำว่า "ฮ้าย" แทน เหมือนในประเทศลาว ฮ้าย ก. โกรธ; ว. ดุ, ร้าย. เช่น "ไปเว้าบ่ดี เลาเลยฮ้ายใส่" (ไปพูดไม่ดี แกเลยโกรธใส่) ...

ภาษาใต้: หมัน...

หมัน: (ก.) ขยัน, (ว.)ไม่มีลูก ตัวอย่าง: หมันอิตายนิ ไปทำหร้ายแต่หัวเช้า อ่านว่า: หมัน อิ ตาย นิ ไป ทำ หร้าย แต่ หัว เช้า คำแปล: ขยันจังน่ะทำไปไร่แต่เช้า หมัน: (ว.) ใช่ ตัวอย่าง: มึ๊งว่าหมันบ่าวดำม้ายแรกเดียว อ่านว่า: มึ๊ง ว่า หมัน บ่าว ดำ ม้าย แรก เดียว คำแปล: นายว่าใช่พี่ดำรึป่าวเมื่อตะกี้ อ้างอิงภาษาจาก ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ แก้มา สี่ ห้า ครั้งแล้วเขียนตกเขียนหล่นไปเรื่อย สะกดคำอ่าน คำพูดจากถิ่นใต้เป็นถิ่นกลาง ลำบากเหมือนกัน ไม่่ค่อยได้ดังใจ

ภาษาอีสาน: เซา

"ว่าแม่นซิเซาแล้วแหม" (นึกว่าจะเลิกซะแล้ว) กับ lang4fun เห็นเจ้าของเว็บเงียบหายไปนาน (ประกอบกับผมเองติดงานโน่นนี่ ไม่ได้มาเขียนเสียนาน) นึกว่าจะ "เซา" ซะแล้ว เซา ก. หยุด, เลิก(ทำ). ในภาษากลาง คำว่า "เซา" ถูกนำไปใช้ในคำว่า "ซบเซา" คือเงียบเหงา ไม่เบิกบาน ไม่คึกคัก ซึ่งถ้าแยกคำออกมา คำว่า "ซบ" ก็หมายถึง ฟุบหน้าลงไป ส่วน "เซา" ก็หมายถึง หยุดชะงัก, เพลาลง หรือ ง่วงเหงา นั่นเอง รวมความก็เลยกลายเป็น ไม่ตื่นตัว เซื่องซึม เงียบเหงา ส่วนในคำอีสาน "เซา" ใช้เป็นคำโดดโดยปกติ เป็นคำกริยา หมายถึง หยุดหรือเลิก เช่น "เซาเถาะ" หมายถึง "เลิกเหอะ" หรือถ้าพูดว่า "เซาเฮ็ดแล้วล่ะ" ก็หมายถึง "เลิกทำแล้วล่ะ" แต่คงบ่ "เซา" เขียน lang4fun ดอกเด้อ :-)

ภาษาใต้: ขี้คร้าน

เหมาะกับ Blog master ภาษาใต้จริงๆ ครับคำนี้ คำว่า "ขี้คร้าน" แปลตรงๆ ก็คือ "ขี้เกียจ" นั้นเอง คำนี้ผมเองก็ได้ยินคนภาคอื่นพูดบ้างเหมือนกัน ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็ "คอยดูเถอะขี้คร้านจะมาคุกเข่าอ้อนวอน" ส่วนในภาษาใต้จะมีเพลงกล่อมเด็ก จำได้ลางว่า "ลูกสาวขี้คร้าน นอนให้แม่ปลุก ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้คร้าน...." วาน หมายถึง ก้นครับ

ภาษาใต้: หล๊อบ...

หล๊อบ: (ก) กลับ (ใช้กับการเดินทาง) ตัวอย่าง: สงกรานต์ นี้ เติน อิ หล๊อบ บ้าน ม้าย อ่านว่า: ส้งกราน นี้ เติน อิ หล๊อบ บ้าน ม้าย คำแปล: สงกรานต์นี้คุณจะกลับบ้านรึป่าว ผมไม่แน่ใจว่าเขียนถูกรึป่าวกับคำว่า "หล๊อบ" หรืออาจจะเป็น "หล้บ" อ้างอิงภาษาจาก ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่

ภาษากลาง: วสันต์

น่าแปลกเหมือนกัน ที่คำว่า "วสันต์" มีการใช้กันอย่างกว้างขวางในวงการวรรณกรรม ในความหมายว่า "ฤดูฝน" ทั้งที่ความหมายที่แท้จริงนั้น หมายถึง "ฤดูใบไม้ผลิ" วสันต์ น. ฤดูใบไม้ผลิในคำว่า ฤดูวสันต์, วสันตฤดู ก็ว่า. ด้วยความเอียงของแกนโลกประมาณ ๓๓.๕ องศาจากแนวตั้งฉากกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกมีสภาพเหมือนไก่ย่างที่หมุนกลิ้งไปรอบๆ กองไฟคือดวงอาทิตย์ เหมือนไก่ย่างเวียนหัวตามร้านข้างทาง แต่โลกจะเอียงแกนไปด้านหนึ่งด้วย ทำให้ในตำแหน่งหนึ่ง ไก่ย่างชิ้นนี้หันด้านหัวเข้าหากองไฟ ในขณะที่ในอีกตำแหน่งหนึ่ง หันด้านก้นเข้าหากองไฟ ทำให้โลกร้อนหัวเย็นก้นบ้าง สลับกับร้อนก้นเย็นหัวบ้าง เป็นคาบๆ ไป เกิดเป็นฤดูกาลในบริเวณต่างๆ ของโลก ตำแหน่งที่โลกหันหัว (ขั้วโลกเหนือ) เข้าหาดวงอาทิตย์ตรงที่สุดนั้น ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูร้อนเต็มที่ และมีเวลากลางวันยาวนานที่สุด (ในบริเวณเหนือละติจูด ๖๖.๕ องศาเหนือขึ้นไป พระอาทิตย์จะไม่ตกดิน) เรียกว่า "ครีษมายัน" [คฺรีด-สะ-มา-ยัน] (Summer Solstice) แปลว่า การมาถึงของฤดูร้อน ตรงกับประมาณวันที่ ๒๒ มิถุนายน และเรียกฤดูนี้ว่า "คิ...

ภาษาอีสาน: ไหง่

อากาศร้อนๆ แห้งๆ อย่างนี้ รถวิ่งทีฝุ่นตลบอบอวล แม่บ้านต้องกวาดบ้านวันละหลายรอบ "คือมาไหง่แท้หนอ" คือคำบ่นสำหรับยามนี้ ไหง่ น. ฝุ่น; ว. เต็มไปด้วยฝุ่น. กล่าวคือ คำนี้เป็นได้ทั้งนามและวิเศษณ์ เช่น "เฮือนบ่ปัดบ่กวาด ไหง่เต็มอื้อปื้อ" หมายถึง ไม่กวาดบ้านกวาดช่อง ฝุ่นจับหนาเขรอะ "อย่ากวาดแฮงหลาย มันไหง่.." แปลว่า อย่ากวาดแรงนักสิ ฝุ่นมันคลุ้ง

ภาษากลาง: ชันษา, พรรษา

คำว่า "ชันษา" เป็นคำที่มักพบเห็นการใช้ที่ไม่ตรงความหมายบ่อยๆ เช่น เมื่อพูดถึงพระชนมายุเจ้านาย ก็ไปใช้เป็นหน่วยนับ เช่น พระชนมายุ ๑๖ ชันษา ทั้งที่ความจริงแล้ว ความหมายของ "ชันษา" คือ: ชันษา [ชันนะสา] น. อายุ. (ย่อมาจาก ชนมพรรษา). กล่าวคือ ชันษา เป็นสามานยนามหมายถึงอายุ ไม่ใช่ลักษณนามนับอายุ อาจจะใช้ได้ในวลี "เจริญพระชันษา" หรือ "เมื่อพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา" เป็นต้น ส่วนราชาศัพท์ลักษณนามนับอายุนั้น ใช้คำว่า "พรรษา" ซึ่งแปลตามรากศัพท์ว่า ฤดูฝน แต่เอามาใช้นับอายุเป็นปี ดังนั้น "๑๘ พรรษา" กับ "๑๘ ฝน" จึงเป็นการใช้คำในลักษณะเดียวกัน ซึ่งหมายถึงการผ่านฤดูฝนมา ๑๘ ครั้ง ก็หมายถึงอายุ "๑๘ ปี" นั่นเอง

ภาษาอีสาน: ขิว

กลิ่นที่แหลมเสียดจมูก และอาการถูกกระทบกระทั่งทางจิตใจที่ทำให้ขัดเคือง ไม่พอใจ ที่ภาษากลางเรียกว่า "ฉุน" นั้น คำอีสานใช้คำว่า "ขิว" ขิว ว. (กลิ่น) ฉุน, ก. โกรธเคือง, ไม่พอใจ. และเนื่องจากเสียง ข ไข่ ในบางถิ่น จะออกเป็นเสียงกล้ำระหว่าง ข ไข่ กับ ฉ ฉิ่ง ซึ่งเสียง ฉ ฉิ่ง จะเด่นกว่า จึงอาจจะได้ยินเป็น "ฉิว" บ้าง (แถวบ้านที่ขอนแก่น ได้ยินแต่ "ฉิว" มาตลอด แถมอารมณ์มันคล้าย "ฉุน" เสียด้วย เพิ่งมาเรียนรู้ว่าจริงๆ เขียนว่า "ขิว" ก็ตอนที่อ่านหนังสือพื้นบ้าน และตอนที่เริ่มได้ยินสำเนียงต่างถิ่นมากขึ้นนี่เอง)

ภาษากลาง: จุติ

คำว่า "จุติ" นี้ ดูจะใช้กันสับสน ที่แน่ๆ คือเป็นคำที่ใช้แก่เทวดาเมื่อสิ้นบุญจากสวรรค์ ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ คำว่า "จุติ" นี้ จึงถูกแปลความหมายว่า "เกิด" บ่อยๆ แต่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายไว้ว่า: จุติ ก. ตาย (มักใช้แก่เทวดา). (ป.; ส. จฺยุติ). กล่าวคือ ตามคติทางธรรมนั้น การเปลี่ยนภพมีสองขั้นตอนหลักๆ (ไม่ขอพูดถึงขั้นตอนย่อยๆ เดี๋ยวจะยาว) คือ จุติ ซึ่งตรงกับการ "ตาย" ในความหมายปกติ กับ ปฏิสนธิ ซึ่งหมายถึงการ "เกิด" (สองคำนี้ นักสนทนาธรรมใน TLWG คงจะได้ยินกันจนชิน) ดังนั้น การพูดว่า "เทวดาลงมาจุติ" จึงฟังดูขัดๆ แต่ถ้าพูดว่า "เทวดาจุติลงมา" แบบนี้ฟังได้ใจความ คำว่า "จุติ" มักใช้กับเทวดา แต่วรรณคดีบางเรื่องก็นำมาใช้กับมนุษย์ด้วย เช่น ในมหาชาติภาคพายัพ ฉบับสร้อยสังกร อานิสงส์การสร้าง มีร่ายตอนหนึ่งว่า: ปุคคละผู้ใดหนา ได้ฟังธรรมเทศน์ ชื่อมหาเวสสันดร คันผู้นั้น จุติ จรตายจาก ได้พลัดพรากเมืองคน ก็จักได้เอาตนเมือเกิด ห้องฟ้าเลิศทิพพอาวาสา อย่างไ...

ภาษาใต้ : ลูกผุน

หายไปนานเลยสำหรับภาษาใต้ ได้ข่าวแว่วๆ ว่าพี่เทพจะประกาศหาใน missingpersons ซะแล้ว.. ช่วงที่ผ่านมาก็วุ่นๆ ประกอบกับขี้เกียจด้วยเลยไม่ค่อยได้เขียน blog วันนี้เลยเขียนสักหน่อย คำว่าลูกผุน ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกหรือไม่ หมายถึง พวกชามกินข้าว ใส่แกง นึกไม่ออกก็นึกถึงกะละมังย่อส่วนเอา แต่บ้านผมเรียกลูกโคมแฮะ แถวทางตรัง หรือภาคใต้ตอนล่างจะเรียกลูกผุนกัน แรกผมเองก็งงๆ ว่ามันคืออะไร..

ภาษาอีสาน: เมือบ้าน

เทศกาลปีใหม่ การจราจรสายที่ถือว่าคับคั่งมากที่สุดเห็นจะเป็นสายอีสาน เพราะชาวอีสานที่กระจายกันไปทำงานในเมืองหลวง และตามภูมิภาคต่างๆ มากมาย พากัน "เมือบ้าน" เมือ ก. กลับคืนสู่. คำว่า "เมือ" บางท้องถิ่น เช่น ขอนแก่น จะออกเสียงเป็น "เมีย" เพราะไม่มีเสียงสระเอือ แต่ถ้าไปตามตลาด จะเห็นพูดทั้ง "เมือ" และ "เมีย" ปนกัน เพราะพ่อค้าแม่ขายเอง ก็หอบของมาขายจากท้องถิ่นอื่นเหมือนกัน ใครเคยได้อ่าน ลิลิตพระลอ จะเห็นศัพท์พื้นถิ่นไทยเหนือ-อีสานอยู่ประปราย ในบรรดานั้น มีคำว่า "เมือ" ซึ่งแปลว่า "กลับคืนสู่" นี้อยู่ด้วย (ขออภัยที่หนังสือไม่ได้อยู่กับตัว ไม่สามารถยกมาเป็นตัวอย่างได้) ทั้งๆ ที่คำเมืองล้านนาจะใช้คำว่า "ปิ๊ก" ตรงนี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไปเหมือนกัน สำหรับคำว่า "บ้าน" นี้ มีเกร็ดที่น่าสังเกตว่า ภาษาอีสานจะเรียก "บ้าน" กับ "เฮือน" (เรือน) แยกกันชัดเจน โดย "บ้าน" มีความหมายเหมือน home และ "เฮือน" เหมือน house ของฝรั่ง ดังนั้น คุณจะ "เมือบ้าน...